มุกดาหาร เป็นจังหวัดชายแดน อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทยตั้งอยู่ในแอ่งสกลนคร และอยู่ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน2 ห่างจาก จังหวัดนครพนม ประมาณ 108 กิโลเมตร และ ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 650 กิโลเมตร แยกออกมาจากจังหวัดนครพนมเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2525 นับเป็นจังหวัดที่ 73 ของประเทศไทย เป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญของอิสานภูมิประเทศติดกับแม่น้ำโขง หอแก้วมุกดาหารและสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย

ประวัติศาสตร์
กรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างเวียงจันทน์ ภายหลังจากที่พระยาสุริยวงศาสิ้นพระชนม์ กรุงเวียงจันทน์เกิดการระส่ำระสายแย่งชิงอำนาจราชสมบัติกัน ฝ่ายยึดอำนาจได้ก็ปราบปรามฝ่ายตรงข้ามให้หมดสิ้นไป กลุ่มพระยาแสน (พญาเมืองจันทน์) ยึดครองเวียงจันทน์ได้ เจ้าศรีวิชัย กษัตริย์อาณาจักร์ล้านช้าง พระองค์ที่ 30 (พ.ศ. 2176-2179 รวมระยะเวลาครองราชย์ได้ 3 ปี) พระราชนัดดาในพระเจ้าวรวงศาธรรมิกราช กษัตริย์ล้านช้าง พระองค์ที่ 26 ไม่สามารถครองราชย์ต่อได้ เนื่องจากเกิดการยึดอำนาจ พระองค์จึงพร้อมด้วยเชื้อพระวงศ์หลบหนีภัยไปพึ่งบารมีอยู่กับ “เจ้าราชครูโพนสะเม็ก” หรือ “ญาคูขี้หอม” ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ของกรุงเวียงจันทน์ ในสมัยนั้นเทียบเท่ากับสมเด็จพระสังฆราช มีคนเคารพนับถือสักการะมากที่สุด อยู่ที่วัด “โพนสะเม็ก” ใกล้กรุงเวียงจันทน์ ในการหลบหนีครั้งนี้ เจ้าศรีวิชัยได้นำบุตรไปด้วย 2 คน คือ
๑. เจ้าแก้วมงคล ได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุ เรียนพระอรรถธรรมกัมมัฎฐานจนแตกฉานแล้วสึกออกมา จนคนเรียกว่า “อาจารย์แก้ว” หรือ “แก้วบูโฮม”
๒. เจ้าจันทร์สุริยวงศ์

ภายหลังจากการอพยพมาพึ่งเจ้าราชครูหลวง เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่หนีราชภัย จึงมีการเปลี่ยนพระนามเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าหมายถูกลอบสังหารจากฝ่ายยึดอำนาจ
พระยาแสนเจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ ได้คิดที่จะกำจัดเชื้อพระวงศ์ของพระสุริยวงศาที่หนีกันมาพึ่งบารมีของเจ้าราชครูโพนสะเม็กอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเจ้าราชครูฯ ซึ่งมีผู้ให้ความเคารพนับถือมากด้วย และเนื่องจากโพนสะเม็กและกรุงเวียงจันทน์อยู่ใกล้กันมาก เจ้าราชครูโพนสะเม็กเกรงว่าเชื้อพระวงศ์ที่อพยพมาพึ่งบารมีจะได้รับอันตราย จึงวางแผนการอพยพออกจากรุงเวียงจันทน์ไปทางใต้เพื่อหาที่อยู่ใหม่

พ.ศ. 2232 เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก ได้ขออนุญาตพระยาเมืองแสนเดินทางไปบูรณปฏิสังขรณ์ “พระธาตุพนม” ซึ่งชำรุดมาก ในการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งนี้จะได้นำชาวเวียงจันทน์และช่าง จำนวน 3,000 คน ร่วมเดินทางไปด้วย เมื่อได้รับอนุญาตก็พากันอพยพเดินทางล่องน้ำโขงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ดอนโขง ในการอพยพคราวนี้เชื้อพระวงศ์ก็ได้หลบหนีออกมาด้วย ครั้นเดินทางมาถึงพระธาตุพนมก็เริ่มลงมือบูรณะพระธาตุพนมในปี พ.ศ. 2233
ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมคราวนี้นั้น เจ้าราชครูโพนสะเม็กได้บูรณะตั้งแต่ขั้นที่ 2 ขึ้นไปจนสุดยอดพระธาตุ เล่ากันว่า เจ้าราชครูโพนสะเม็กได้ไปขุดเอาโลหะชนิดหนึ่งคล้ายตะกั่วหรือเงิน ซึ่งไทยล้านช้างเรียกเหล็กเปียก ไทยใต้เรียกเหล็กไหล มาเป็นโลหะหล่อเป็นโบกสวมลงในปูนที่ยอดพระธาตุ สถานที่ขุดนั้นอยู่ที่ภูเหล็กใกล้บ้านดอนข้าวหลาม ตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม อยู่ทางใต้ของพระธาตุพนม ประมาณ 8 กม. ปัจจุบันยังมีหลุมและรอยขุดอยู่ ภูนั้นเป็นภูเขาศิลาแลงเตี้ยเป็นเนินสูงจากทุ่งนา

พ.ศ. 2336 หลังจากที่ เจ้าราชครูโพนสะเม็ก บูรณะพระธาตุพนมเสร็จแล้วก็ได้แบ่งครอบครัวจำนวนหนึ่งให้อยู่อุปัฎฐากพระธาตุ นอกนั้นก็อพยพไปทางใต้ตามลำน้ำโขงเพื่อตั้งบ้านเรือนต่อไป กล่าวถึง นางเภา และ นางแพง(แม่ญิง) ผู้ครองเมืองกาลจำบากนาคบุรีศรี ได้ทราบข่าวว่าเจ้าราชครูโพนสะเม็กพำนักอยู่ที่เกาะแดง ท่านเป็นพระเถระที่มีคนเคารพสักการะมาก ไปที่ใดก็สร้างพระพุทธรูปวิหหาร เกิดความศรัทธาเลื่อมใส จึงพร้อมด้วยท้าวพญาแสน ไปนิมนต์อาราธนาท่านขอให้พำนักอยู่ที่เมืองเพื่อทำนุบำรุงศาสนาให้ถาวรรุ่งเรืองต่อไป ท่านราชครูโพนสะเม็กก็ไม่ขัดศรัทธา ครั้นอยู่ต่อมานางแพงพร้อมด้วยมุขมนตรีประชาราษฎรทั้งปวงมีความเลื่อมใสศรัทธาและเคารพนับถือเจ้าราชครูฯมากยิ่งขึ้น จึงพร้อมกันถวายทั้งพุทธจักรและอาณาจักรให้ราชครูฯ ปกครองทั้งสิ้น นครจำบากนาคบุรีศรีเป็นพระปกครอง

พ.ศ. 2256 ท่านราชครูฯ ได้ใช้วิธีปกครองโดยทางธรรมแต่ไม่สำเร็จเรียบร้อย การชำระความตามอาญาแผ่นดินก็จะผิดวินัยพระ เมื่อพิจารณาแล้วจึงเห็นว่า เจ้าหน่อกษัตริย์ ซึ่งเป็นอนุชาของพระเจ้าองค์หล่อ หรือ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 (อพยพหลบหนีเมื่อคราวมาบูรณะพระธาตุพนม) เป็นเชื้อกษัตริย์กรุงเวียงจันทน์โดยแท้จริง จึงได้เชิญมาเป็นประมุขฝ่ายอาณาจักร ถวายนามว่า “เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร” และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่จาก กาลจำบากนาคบุรี เป็น “นครจำปาศักดิ์” แยกออกจากอาณาเขตของกรุงเวียงจันทน์

เมื่อ “เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร”ได้ปกครองนครจำปาศักดิ์แล้ว ก็มอบอำนาจให้เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กมีอำนาจฝ่ายพุทธจักรปกครองสงฆ์ที่นครจำปาศักดิ์ จนท่านราชครูหลวงฯ อายุได้ 90 ปี ก็มรณภาพโดยโรคชรา (พ.ศ. 2263)

ต่อมา พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร ได้แต่งตั้งให้ เจ้าแก้วมงคลอพยพไพร่พลลงไปสร้างเมืองท่งศรีภูมิ ต่อมาคือเมืองสุวรรณภูมิราชบุรียประเทษราช (อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน) ซึ่งต่อมาลูกหลานของท่านได้แยกออกไปปกครองหัวเมืองอีสานหลายหัวเมืองทั่วภาคอีสาน เช่น เมืองร้อยเอ็ด มหาสารคาม ศรีสะเกษ ชนบท ขอนแก่น เป็นต้น ส่วนเจ้าจันทรสุริยวงศ์ให้อพยพไพร่พลไปสร้างเมืองหลวงโพนสิมร้างที่เมืองสุวรรณเขต อยู่แถวบริเวณพระธาตุอิงฮัง (แขวงสุวรรณเขตในปัจจุบัน) ซึ่งตรงกับปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา

ภายหลังจากเจ้าจารย์จันทสุริยวงศ์พิราลัยแล้ว พระโอรสทั้ง 2 พระองค์ได้แยกย้ายกันออกไปปกครองบ้านเมืองแถบริมฝั่งแม่น้ำโขงและแผ่นดินภาคอีสาน ได้แก่ เจ้าราชาบุตรโคตร (ท้าวราชบุตรโคตร) ได้อพยพไพร่พลจากเวียงดงเขนยและเมืองแก้งกอก ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มาตั้งเมืองที่บ้านดอนตาล เรียกว่า เมืองดอนตาล) และ ฝ่ายพระอนุชาคือ เจ้าจันทกินนรี (ท้าวกินรี) ได้ครองเมืองโพนสิมต่อจากพระบิดา จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2310 ได้มีนายพรานในหมู่บ้านข้ามลำน้ำโขงมาทางฝั่งขวาของปากห้วยบังมุก และได้พบเมืองร้าง วัดร้าง และต้นตาลจำนวน 7 ยอดอยู่ริมฝั่งโขง เห็นว่าเป็นทำเลที่อุดมสมบูรณ์กว่าบริเวณฝั่งซ้ายที่พวกตนอาศัยอยู่มาก เนื่องจากอุดมไปด้วยปลา ที่ดิน และทรัพยากรต่าง ๆ จึงกลับไปรายงานให้เจ้าจันทกินรีทราบ เจ้าจันทกินรีจึงพาพรรคพวกข้ามน้ำโขงมาและพิเคราะห์ดูว่าที่ตั้งบริเวณนี้คงเป็นเมืองโบราณมาก่อน และประทับใจในความอุดมสมบูรณ์เหมาะที่จะตั้งถิ่นฐาน จึงได้พากันอพยพจากบ้านหลวงโพนสินมาตั้งบ้านเรือนอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงบริเวณปากห้วยบังมุกที่นายพรานเป็นผู้พบ

ในขณะที่กำลังจัดเตรียมพื้นที่เพื่อตั้งเมืองใหม่ ได้พบพระพุทธรูป 2 องค์อยู่ใต้ต้นโพธิ์ริมฝั่งโขง พระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ส่วนพระพุทธรูปองค์เล็กเป็นพระพุทธรูปโลหะหล่อด้วยเหล็กเนื้อดี จึงได้พร้อมกันสร้างวัดขึ้นใหม่ในบริเวณวัดร้างริมฝั่งโขง และขนานนามว่า วัดศรีมุงคุณ (ศรีมงคล) รวมทั้งก่อสร้างกุฏิวิหารขึ้น พร้อมอัญเชิญพระพุทธรูปทั้งสององค์ขึ้นไปประดิษฐานบนพระวิหาร แต่ปรากฏว่าพระพุทธรูปองค์เล็ก เกิดปาฎิหาริย์กลับลงไปประดิษฐานอยู่ใต้ต้นโพธิ์ที่ตั้งเดิมหลายครั้ง และค่อย ๆ จมหายลงไปใต้ดิน คงเห็นแต่ยอดพระเกศโผล่ขึ้นมาให้เห็น จึงมีการสร้างแท่นสักการะบูชาครอบไว้ในบริเวณนั้น และขนานนามพระพุทธรูปองค์นั้นว่า พระหลุบเหล็ก ปัจจุบันบริเวณที่พระหลุบเหล็กจมดินได้ถูกกระแสน้ำเซาะตลิ่งโขงพังลงไปหมดแล้ว (คงเหลือแต่แท่นสักการะบูชาที่ยกเข้ามาเก็บรักษาไว้หน้าพระวิหารของวัดศรีมงคลใต้ในปัจจุบัน)

ส่วนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ก่ออิฐถือปูน ชาวเมืองได้ขนานนามว่า “พระเจ้าองค์หลวง” เป็นพระประธานของวัดศรีมุงคุณ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น วัดศรีมงคลใต้ ถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดมุกดาหารนับแต่นั้นมา
ในเวลาต่อมา มักมีผู้พบเห็นแก้วดวงหนึ่งมีสีสดใสเป็นประกายลอยออกจากต้นตาลริมฝั่งโขง และลอยไปตามลำน้ำโขงทุกคืน จนถึงช่วงใกล้สว่างจึงลอยกลับมาที่ต้นตาลเช่นเดิม เจ้าจันทกินรีจึงได้ขนานนามแก้วดวงนี้ว่า แก้วมุกดาหาร เนื่องจากได้ตั้งเมืองขึ้นริมฝั่งโขงตรงปากห้วยบังมุกอีกทั้งได้มีผู้พบเห็นไข่มุกในแม่น้ำโขงอีกด้วย และให้ขนานนามเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ว่า เมืองมุกดาหาร ตั้งแต่เดือน 4 ปีกุน จุลศักราช 1132 (พ.ศ. 2313) มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งสองฝั่งของแม่น้ำโขงรวมถึงแขวงสุวรรณเขตของประเทศลาว

ครั้นถึงสมัยอาณาจักรธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้แผ่แสนยานุภาพขึ้นมาถึงแถบลุ่มแม่น้ำโขง กระทั่ง พ.ศ. 2321 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาจักรียกกองทัพขึ้นมาปราบปรามและรวบรวมหัวเมืองใหญ่น้อยในสองฝั่งแม่น้ำโขง และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ เจ้าจันทกินรี เป็น พระยาจันทรศรีสุราชอุปราชามันธาตุราช ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองมุกดาหารคนแรก
เดิมทีเมืองมุกดาหารเคยเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลอุดร ก่อนจะกลายเป็นอำเภอหนึ่งในเมืองนครพนมใน พ.ศ. 2450 (ต่อมาได้เปลี่ยนคำว่าเมืองเป็นจังหวัดใน พ.ศ. 2459) และได้แยกออกเป็น จังหวัดมุกดาหาร อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2525
ใน พ.ศ. 2549 สะพานมิตรภาพไทย–ลาว 2 ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขง เชื่อมต่อจังหวัดมุกดาหารของไทยและแขวงสุวรรณเขตของประเทศลาวได้เปิดดำเนินการ

อาณาเขตติดต่อ
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดสกลนครและจังหวัดนครพนม
ทิศตะวันออก ติดต่อกับแขวงสะหวันนะเขด ประเทศลาว โดยมีแม่น้ำโขงไหลกั้นพรมแดน
ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดยโสธร และจังหวัดร้อยเอ็ด
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดกาฬสินธุ์

พื้นที่
• ทั้งหมด 4,339.830 ตร.กม. (1,675.618 ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที่ อันดับที่ 51

ประชากร
• ทั้งหมด 351,484 คน
• อันดับ อันดับที่ 66
• ความหนาแน่น 80.99 คน/ตร.กม. (209.8 คน/ตร.ไมล์)
• อันดับความหนาแน่น อันดับที่ 60

สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
ตราประจำจังหวัด

 

ธงประจำจังหวัด

• ต้นไม้ : ตานเหลือง (ช้างน้าว)

ดอกไม้ : ตานเหลือง (ช้างน้าว)

สัตว์น้ำ : ปลากดคัง (ปลากดแก้ว)

 

คำขวัญ : องค์พระใหญ่ สวยเด่น เป็นสง่า
สูงเสียดฟ้า หอแก้วมุกดาหาร
พญานาค 3 พิภพ ระบือนาม
ทั่วเขตคาม สะพานเชื่อม อินโดจีน

สภาพทางภูมิศาสตร์
ด้านตะวันออกเป็นที่ราบสลับป่าไม้ ด้านตะวันตกเป็นผืนป่าบนทิวเขาภูพาน ด้านตะวันออกมีแม่น้ำโขงทอดยาวกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับลาว

การปกครองส่วนภูมิภาค
การปกครองแบ่งออกเป็น 7 อำเภอ 53 ตำบล 526 หมู่บ้าน

การปกครองส่วนท้องถิ่น
แบ่งออกเป็น 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด 30 องค์การบริหารส่วนตำบล 1 เทศบาลเมือง 24 เทศบาลตำบล

อำเภอเมืองมุกดาหาร
เทศบาลเมืองมุกดาหาร
เทศบาลตำบลดงเย็น
เทศบาลตำบลคำอาฮวน
เทศบาลตำบลมุก
เทศบาลตำบลบางทรายใหญ่
เทศบาลตำบลโพนทราย
เทศบาลตำบลผึ่งแดด
เทศบาลตำบลคำป่าหลาย
เทศบาลตำบลดงมอน
เทศบาลตำบลนาโสก
เทศบาลตำบลนาสีนวน

อำเภอนิคมคำสร้อย
เทศบาลตำบลนิคมคำสร้อย
เทศบาลตำบลร่มเกล้า

อำเภอดอนตาล
เทศบาลตำบลดอนตาล
เทศบาลตำบลบ้านแก้ง
เทศบาลตำบลดอนตาลผาสุก

อำเภอดงหลวง
เทศบาลตำบลดงหลวง
เทศบาลตำบลหนองแคน
เทศบาลตำบลกกตูม

อำเภอคำชะอี
เทศบาลตำบลคำชะอี

อำเภอหว้านใหญ่
เทศบาลตำบลหว้านใหญ่
เทศบาลตำบลชะโนด

อำเภอหนองสูง
เทศบาลตำบลภูวง
เทศบาลตำบลบ้านเป้า
เทศบาลตำบลหนองสูงเหนือ

สถานที่สำคัญ
หอแก้วมุกดาหาร
ศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมือง
ศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้อง
วัดศรีมงคลใต้
วัดศรีบุญเรือง
สะพานมิตรภาพ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต)
หอยสมัยหิน
กลองมโหระทึก
ฐานปฏิบัติการวรพัฒน์
วัดภูด่านแต้
วัดภูพระบาทแก่นจันทน์
อ่างเก็บน้ำชลประทานห้วยขี้เหล็ก
วัดบรรพตคิรี
น้ำตกตาดโดน
หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
แก่งกะเบา (พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช)
วัดมโนภิรมย์
วัดพระศรีมหาโพธิ์
วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ (พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราช)
น้ำตกถ้ำไทร,น้ำตกผาเจิ่น,จุดชมวิวผากิ่ว อำเภอนิคมคำสร้อย (ภายในวนอุทยานดงบังอี)
ตลาดอินโดจีน (ถนนคนเดินตลาดอินโดจีน)
ตลาดราตรี
ถนนคนเดินลานสนุกมุกดาหาร
พญาอนันตนาคราช
วัดเวฬุวนาราม (วัดภูผาเจี๊ยะ)
ไร่ภาสทอง
สวนน้ำมุกดาหาร & สวนยิ้มแย้ม
สักการสถานพระมารดาแห่งมรณสักขี
วัดดานพระอินทร์ (รวมพญานาค)
วัดป่าวิเวกวัฒนาราม (วัดหลวงปู่จาม)
ทุ่งกังหันลมร่มเกล้าวินด์ มุกดาหาร

สถานที่สำคัญทางธรรมชาติ
1.อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยู่ที่บ้านคอนสาย ตำบลนาสีนวน อำเภอเมืองมุกดาหาร
2.อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยู่ที่บ้านหนองเม็ก ตำบลป่าไร่ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร(มุกดาหาร,ยโสธร,อำนาจเจริญ)
3.อุทยานแห่งชาติภูผายล/ห้วยหวด ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยู่ที่บ้านห้วยหวด ตำบลจันทร์เพ็ญ อำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร(สกลนคร,นครพนม,มุกดาหาร)
4.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯตั้งอยูที่อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร(มุกดาหาร,กาฬสินธุ์)
5.วนอุทยานดงบังอี ที่ทำการวนอุทยานฯตั้งอยู่ที่ตำบลนากอก อำเภอนิคมคำสร้อย
6.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาน้ำทิพย์ ที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าฯตั้งอยู่ที่ตำบลบึงงาม อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด(ร้อยเอ็ด,กาฬสินธุ์,มุกดาหาร)

เทศกาล
-เทศกาลตรุษจีน-เวียดนาม จังหวัดมุกดาหาร
-เทศกาลสงกรานต์
-เทศกาลแข่งเรือ
-มหกรรมวิ่ง มุกดาหาร-สะหวันนะเขต
-งานมหัศจรรย์มุกดาหาร 3 พิภพ

การคมนาคม
รถยนต์
มุกดาหารอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ 650 กิโลเมตร ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-สระบุรี-นครราชสีมา-อำเภอบ้านไผ่-มหาสารคาม-อำเภอยางตลาด-กาฬสินธุ์-อำเภอคำชะอี-มุกดาหาร หรือเส้นทางกรุงเทพฯ-สระบุรี-นครราชสีมา (ทางหลวงหมายเลข 2) เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 207 ที่บ้านวัด-เลี้ยวขวาผ่านอำเภอประทาย-อำเภอพุทไธสง-อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย–อำเภอเกษตรวิสัย-อำเภอสุวรรณภูมิ แล้วแยกเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2169 ผ่านอำเภอทรายมูล-อำเภอกุดชุม-อำเภอเลิงนกทา แยกซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 212 ผ่านอำเภอนิคมคำสร้อย สู่จังหวัดมุกดาหาร

รถโดยสารประจำทาง
มีรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถปรับอากาศ บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด เช่น
กรุงเทพฯ – มุกดาหาร
กรุงเทพฯ – มุกดาหาร
นครราชสีมา – มุกดาหาร
ขอนแก่น – มุกดาหาร
มุกดาหาร – ระยอง
มุกดาหาร – พัทยา – ระยอง
มุกดาหาร – หัวหิน
มุกดาหาร – แม่สอด

ทางอากาศ
ในปัจจุบันจังหวัดมุกดาหารยังไม่มีท่าอากาศยาน จึงต้องใช้บริการท่าอากาศยานของจังหวัดข้างเคียง ได้แก่
ท่าอากาศยานนครพนม เดินทาง 1 ชม. 50 นาที (120 กม.)
ท่าอากาศยานสกลนคร เดินทาง 1 ชม. 55 นาที (124 กม.)
ท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี เดินทาง 2 ชม. 29 นาที (169.7 กม.)
โดยปกติชาวจังหวัดมุกดาหาร จะให้ท่าอากาศยานนครพนมเป็นหลักในการเดินทาง เพราะความสะดวกในการเดินทางและระบบขนส่งสาธารณะ
รถตู้ ท่าอากาศยานนครพนม – บขส.จังหวัดมุกดาหาร
บขส.จังหวัดนครพนม – บขส.จังหวัดมุกดาหาร (ไปกลับ)
ในปี 2561 กรมท่าอากาศยาน ในสังกัดกระทรวงคมนาคม ได้ใช้งบประมาณ 6 ล้านบาทในการสำรวจพื้นที่เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างท่าอากาศยานในจังหวัดมุกดาหาร หากสร้างสำเร็จจะกลายเป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่ 30 ของประเทศไทย การสำรวจดังกล่าวแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2562 และอยู่ในระหว่างดำเนินการขั้นตอนต่อไป คาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 5 พันล้านบาทในการก่อสร้าง[9]

รถไฟ
ในปัจจุบันจังหวัดมุกดาหารยังไม่มีระบบขนส่งทางราง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างสำหรับ โครงการก่อสร้างทางรถไฟ ทางคู่ บ้านไผ่ มุกดาหาร นครพนม มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2570

รถโดยสารระหว่างประเทศ
มุกดาหาร – สะหวันนะเขต บริการโดย บริษัท ขนส่ง จำกัด
การคมนาคมภายในตัวจังหวัดมุกดาหาร
รถสองแถว มีหลายสาย คิดค่าโดยสารตามระยะทาง
รถสามล้อเครื่อง คิดค่าโดยสารตามระยะทาง (เป็นรถเหมา)
แท็กซี่ คิดค่าโดยสารตามระยะทางบนมิเตอร์
ระยะห่างจากตัวจังหวัดไปอำเภอต่างๆ
อำเภอนิคมคำสร้อย 29 กิโลเมตร
อำเภอหว้านใหญ่ 32 กิโลเมตร
อำเภอดอนตาล 34 กิโลเมตร
อำเภอคำชะอี 38 กิโลเมตร
อำเภอหนองสูง 53 กิโลเมตร
อำเภอดงหลวง 55 กิโลเมตร

จุดผ่านแดนที่ติดต่อกับประเทศลาว
1.จุดผ่านแดนถาวร ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2 ระหว่างอำเภอเมืองมุกดาหารและนครไกสอน พมวิหาน แขวงสุวรรณเขต
2.จุดผ่านแดนถาวร ท่าเรือเทศบาลเมืองมุกดาหาร ระหว่างอำเภอเมืองมุกดาหารและนครไกสอน พมวิหาน แขวงสุวรรณเขต

แผนที่